ตำนานการสร้างกุมารทองหลวงปู่หงษ์
ตำนานการสร้างกุมารทอง หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน(วัดเพชรบุรี) จ.สุรินทร์ โดยปกติทั่วไปแล้ววิธี หรือตำราการสร้างกุมารทองนั้นมักจะมีตำรับ ตำราบอกถึงวิธีการสร้างกุมารทอง ประกอบกับเวทย์มนต์คาถาที่ใช้กำกับปลุกเสกตลอดทั้งวิธีการดูแลรักษาบูชาเป็นแบบฉบับให้ศึกษากันต่อๆ แล้วแต่ละสำนักอาจารย์ ส่วนวิธีหรือตำราการสร้างกุมารของหลวงปู่นั้น ก็ได้ศึกษาจากครูบาอาจารย์ทั้งเขตไทยและประเทศกัมพูชาหลายสำนักอาจารย์เช่นกัน ในแต่ละอาจารย์ก็มีวิธีและเคล็ดลับต่างๆกัน แต่การศึกษาในตำราวิชาก็ดีใช้ได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ย่อมขึ้นอยู่กับพลังจิต พลังแข่งกสิณ อภิญญาของแต่ละอาจารย์ว่ามีพลังจิตเข้มขลังเพียงใดส่วนฉบับการสร้างกุมารทองของหลวงปู่นั้น ท่านมิได้ใช้เพียงแค่ตำราอย่างเดียว แต่หลวงปู่ได้วิชาจากครูบาอาจารย์ที่เป็นเทพได้ลงมาสอนวิชาให้จึงเรียกว่าวิชาเทพบันดาล ดังนั้นในการนี้กระผมผู้เขียนจึงขอเรียกเป็นตำนานการสร้างกุมารทองของหลวงปู่เพราะเป็นเรื่องของวิธีการสร้างนอกจากตำรับตำรานั่นเอง
หลวงปู่เล่าว่า ขณะที่ท่านได้ออกธุดงค์วัตร์ หรือถือรุกขมูล คือการอาศัยป่าเป็นที่พักอาศัยปฏิบัติเจริญธรรมภาวนาขณะน้นได้อุปสมบทแล้วสามพรรษาขณะคือรุกขมูลต้นมาถึงเข้าเขตของประเทศกัมพูชา เพื่อจัดหาแหล่งสัปปายะอันเป็นที่สงบร่มเย็นแก่การเพียรภาวนา ณ. ที่นั้นเป็นแหล่งแห่งจอมดินโปร่ง อันดินโปร่งนี้ถือว่าเป็นจอมดินที่มีเทพยดา ฤาษีคุ้มครองดูแลรักษาตลอดทั้งยังเป็นดินอันโอชะของสัตว์ป่าทั้งหลายเช่น ช้าง กวาง เก้ง ฯลฯ อีกยังถือว่าเป็นดินโอสถของสัตว์ทั้งปวงด้วย ขณะที่หลวงปู่ได้เจริญภาวนาอยู่นั้น ได้ปรากฏเห็นกุมารร่างดำจ้ำหม้ำ นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างหน้าด้วยความที่หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีเมตตาต่อเด็ก ทั้งหลายอยู่แล้ว เมื่อยามที่ท่านเห็นเด็กที่ใดก็ตามท่านจะยิ้มพร้อมขออุ้ม จากนั้นก็จะเป่าศรีษะให้แก่เด็กนั้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อท่านเห็นกุมารดำนั่งอยู่ข้างหน้าเช่นนั้นท่านจึงตรงเข้าอุ้ม แต่ผลปรากฎว่าอุ้มเท่าไรก็อุ้มไม่ขึ้นยกเท่าไรก็ยากไม่ไหว จะผลักดันล้มหน้าหงายหลังก็ไม่โค่น ทันก็เพียงได้แต่นึกสงสัย สักครู่ต่อมาปรากฏว่ากุมารดำนั้นได้เนรมิตร่างสูงใหญ่ นั่งขัดสมาธิหลวงปู่กล่าวว่า “ขณะกุมารนั่งลงธรรมดาแค่นั้น หลวงปู่ยืนยังยืนอยู่ได้แค่เพียงหัวไหล่ของกุมารดำนั้นเอง”
ทำให้เราได้จินตนาการมองเห็นได้ ว่ากุมารนั้นต้องสูงใหญ่มาก หลวงปู่ท่านได้แต่นึกสงสัยว่ากุมารองค์นี้หาได้เป็นกุมารธรรมดาไม่จะต้องเป็นกุมารที่มีบุญญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์อย่างมาก จึงได้กระทำการแปลงร่างนิมิตรกายได้ซึ่งต่อมากุมารนั้นได้ย่อกายปกติและได้บอกถึงวิชาและเคล็ดลับของการสร้างกุมารทองแก่ท่าน จนสามารถจดจำได้แม่นแล้วกุมารร่างดำนั้นก็ได้อันตรธานหายไปในพริบตาจึงเป็นการสันนิษฐานได้ว่า เทพที่มาบันดาลวิชาการสร้างกุมารทองแก่หลวงปู่นั้น คงจะทราบด้วยญาณของท่านแล้วว่า ในกาลภายหน้าแล้วพระภิกษุรูปนี้จะต้องได้นำวิชานี้มาช่วยลูกหลานหรือช่วยบ้านเมืองยามคับขันได้จึงได้มาประสิทธิประสาทวิชาการนี้ให้ หลังจากที่หลวงปู่ได้ศึกษาวิชาเทพบันดาลนี้ได้ประมาณสองปี ขณะที่ยังดำรงรุกขมูลอยู่ ณ. ประเทศกัมพูชานั้นได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างเขมรสองฝ่ายคือ เขมรดำฝ่ายรัฐบาล และเขมรแดงฝ่ายตรงข้าม ได้นำกำลังเข้าจู่โจม หน่วยกำลังของทหารรัฐบาล ซึ่งขณะนั้นเจ้านโรดมสีหนุได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหัวหน้าฝ่ายรัฐบาล ซึ่งได้รู้จักจากทหารและชาวบ้านว่าพระภิกษุหงษ์รูปนี้เป็นผู้ที่เคร่งครัดในการเจริญวิปัสสนาตลอดทั้งเรื่องด้วยสรรพวิชาการต่างๆ ทั้งทางด้านเมตตามหาเสน่ห์มหานิยมหรือแม้แต่ทางแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ดังที่กล่าวกันว่ายามหลวงป่าเมตตาแล้วจะเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดีๆยามที่ผู้ใดได้อยู่ใกล้แล้วก็จะมีแต่ความเย็นจิตเย็นใจอบอุ่นอย่างมาก แต่ยามใดที่ท่านเจริญจิตภาวนาในทางคุ้มคลองป้องกันภัยแล้วก็จะแรงเข้มขลังอย่างเอกอุ แม้ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ มืด คมหอกดาบ ปืน ระเบิดก็หาได้ระคายผิวหนังไม่ ดังนั้น เมื่อเจ้าสีหนุได้เช่นนั้น จึงได้มากราบนมัสการหลวงปู่ พร้อมกับขอให้สึกจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ จะขอแต่งตั้งให้เป็นรองนายยกรัฐมนตรี หลวงปู่ได้กล่าวปฏิเสธในการที่รับตำแหน่งตามที่เจ้านโรดมสีหนุนั้นขอร้องพร้อมกับกล่าวว่า “อาตมาสึกมิได้หรอกถ้าสึกแล้ววิชาก็เสื่อมไปจะไม่เป็นผล แต่จะช่วยแผ่เมตตาคุ้มครองกองทัพให้ก็และกัน” เจ้านดรดมสีหนุดีใจมากที่หลวงปู่ได้เมตตาช่วยเหลือหลวงปู่ได้กล่าวสัปยอกว่า” ถ้าช่วยรบชนะแล้วจะให้อะไร” เจ้าสีหนุก็กล่าวตอบรับว่า “ถ้าช่วยรบชนะจะแบ่งเมืองให้ครึ่งหนึ่ง” จากนั้นเจ้านโรดมสีหนุได้กล่าวสัปยอกถามว่า “ถ้าหากช่วยรบแล้วแพ้จะทำอย่างไร” หลวงปู่กล่าวตอบทันทีว่า “ถ้าแพ้ให้เอาตัวไปฆ่าเลย”
กุมารทองเพชร คือกุมารทององค์เล็ก สำหรับพกติดตัว หรือคล้องคอนั้น ถือว่าเป็นกุมารทององค์เล็กรุ่นหนึ่งของหลวงปู่และหลวงปู่ก็กล่าวชมกุมารองค์เล็กนี้ว่า เก่งมากมีบารมีมาก แม้มีศัตรูหมู่ไพรพาลมาก่อกวน ถ้าเราได้ภาวนา “นะเมติฯ” กุมารจะมาคุมร่างและช่วยคุ้มครองทันที ประดุจรัดนิ้วมือดังได้เคยกล่าวมาแล้วว่า “เพราะกุมารทองของหลวงปู่นั้นเป็นญาณบุตรเทพ เวลาไปไหนมาไหน หรือยามใครระลึกนึกถึง จึงสามารถมาช่วยเหลือได้โดยไว ส่วนที่กล่าวว่ากุมารทองเพชร องค์เล็กนี้มีบารมีมาก และมีเจริญด้วยเมตตาโชคลาภสูง เพราะขณะที่หลวงปู่ได้ภาวนาอธิษฐานจิตบรรจุญญาณแห่งกุมารทองเพชรนั้น (หลังจากการปลุกเสกเสร็จ) หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่า “ขณะอธิษฐานจิตภาวนานั้นได้บังเกิดนิมิตแปลกเป็นภูเขาทลายลงมา แปล๊กแปลก....ตั้งแต่ภาวนามิเคยเกิดนิมิตดังนี้ ด้วยความสงสัยและอยากรู้จนเหลืออดว่านิมิตรแห่งภูเขาทลายนี้เป็นอย่างไร ดีหรือมิดีอย่างไร? จึงได้กราบนมัสการเรียนถามหลวงปู่ ด้วยประโยคดังกล่าว หลวงปู่ท่านอมยิ้ม พร้อมกับเล่าว่า “นิมิตอย่างนี้ดีบารมีของครูบาอาจารย์ท่านช่วย ให้บังเกิดให้รู้วว่าญาณเทพบุตรนั้นมีบารมีมาก โดยปกติภูเขาจะทลายหรือแตกแยกนั้นยากมาก แต่ท่านแสดงให้พบเช่นนั้นแสดงว่ามีวิชามากหรือเต็มวิชา “นิมิตอย่างนี้ยังไม่เคยเกิดน๊า” พร้อมกับตักหมากจากตลับฉัน พร้อมทังเมตตาเล่าอีกว่า “กุมารทองชุดนี้ ยังมีบารมีทางเมตตา โชคลาภสูงมากสมมติว่าถ้าเรานั่งขายของ คนซื้อเดินเลยไปแล้ว ก็จะต้องหวลกลับมาช่วยซื้อเพื่อเราจะได้กลับบ้านไวๆ สงสารอย่างนี้ดีกว่าเมตตาเฉยๆนะ การเมตตาเฉยๆ นั้นเป็นเพียงแต่ตาเห็น แล้วกระทบใจอยากที่จะช่วยเหลือแต่ยังมิได้ลงมือช่วยเหลือเพราะเพียงเกิดแต่ในใจ ส่วนคำว่า “สงสาร” นั้นหมายเท่ากับคำว่า “กรุณา” ในพรหมวิหารสี่ คือ เห็นแล้วสงสารม๊าก มาก จึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วนทันที ดังตัวอย่างคือการหวลต้องเดินกลับมาช่วยซื้อนี้เป็นคุณสมบัติพิเศษของกุมารทองชุดนี้ จึงชอบที่จะนำพกติดตัวไปมาค้าขายเก่งมาก หรือให้เด็กติดตัวก็จะช่วยคุ้มครองดุจเงาตามตัว กันรถชนรถเฉี่ยวดีสมัยนี้ พ่อแม่มิค่อยมีเวลารับส่งลูกจากโรงเรียนเหมือนสมัยก่อน เพราะทุกคนต่างต้องช่วยกันทำมาหากิน
Cr. อาจารย์ยุทธนันต์
@@ กุมารทอง หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ@@
บูชาไว้ให้ดี..โลกนี้ไม่มีใครเสกกุมารได้ขลังกว่านี้อีกแล้ว “ คำกล่าวของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ เรื่องนี้ขอบันทึกไว้ เกี่ยวกับกุมารทอง หลวงปู่หงษ์ ซึ่งหลวงปู่ได้กล่าวหลังพุทธาภิเษกอธิฐานจิตวัตถุมงคล แจกผ้าป่า ปี 55 ตอนหนึ่งซึ่งมีหลายคนรวมทั้งผู้เขียนเป็นพยานได้ว่า หลวงปู่หงษ์ท่านกล่าวยืนยันดังเป็นบทสรุป เกี่ยวกับกุมารทองที่หลวงปู่สร้างว่า ไม่ใช่ก้อนดินหรือก้อนทองเหลือง ที่หลอกลวงเอาเงินชาวบ้านมาเพื่อตัวท่าน แต่หลวงปู่ อธิฐานสิ่งสร้างมงคลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กลับ เป็น สระน้ำใหญ่ ผืนป่านับหมื่นไร่ให้ สรรพสัตว์อยู่กินอาศัย สร้างเสนาสนะไว้เป็นสมบัติพระศาสนา กลับมา เรื่องกุมารทองที่พูดนี้ ที่แปลกน่าฉงนสนเท่ห์ก็คือ หลวงปู่สามารถชี้ ลังกุมารทองได้ถูกต้อง ทั้งที่ไม่มีใครบอกให้รู้มาก่อนว่า มีกุมารทองมาเข้าพิธี ครั้งนั้น 2 ลัง 100 องค์..
กุมารทองหลวงปู่หงษ์ เป็นวิชาที่หลายท่านคงทราบว่า ครั้งธุดงค์ในป่ามีเทพนิมิตรเป็นกุมารทองตัวใหญ่ปลุกปล้ำกันไปมาพออีกฝ่ายแพ้ก็สลายเป็นดิน แล้วก่อตัวขึ้นมาได้ใหม่ต่อสู้กันกลับไปกลับมา แล้วจึงเนรมิตกายมาสอนวิธีสร้างกุมารทองโดยใช้ดินมงคล 7 โป่ง(ดินโป่งสัตว์ 7 ชนิด)เป็นหลักส่วนมงคลเสริมก็มาจากดิน 7 ทุ่ง เจ็ดท่าน้ำ ดิน 7 นคร 9 บุรี เป็นต้นและขอยืนยัน วัตถุมงคลหลวงปู่หง์ทุกชนิด ไม่มี ดิน 7 ป่าช้าผสม ทุกกรณี....ในการให้กำเนิดเจตภูติ ให้สถิตเป็นกุมารเทพ ที่มีอิทธานุภาพปรากฎซึ่งจะได้กล่าวในภายหลัง ซึ่งการสร้างกุมารทองหลวงปู่เคยบอกพระไกล้ชิดว่า กุมารทองหลวงปู่ที่ขลังมากเพราะครูบาอาจารย์เจ้าของวิชาสร้างกุมารทองท่านลงมาช่วยพุทธาภิเษก จึงขลังมากเป็นพิเศษ
ซึ่งกุมารเทพประจำสำนักมาแต่เดิมเป็นล้วนเป็นกุมารเทพที่มีลาภมาก และเด่นด้านป้องกันอันตรายและ กำจัดสิ่งไม่ดี เมื่อหลวงปู่เดินทางไปใหน หากสำผัสได้พบกุมารตนใดที่แรงมาก ๆ หากมีอานุภาพด้านลาภมากด้วย ก็จะเรียกให้มาอยู่ด้วย แม้วัย 96 หลวงปู่ก็ยังจัดแบ่งอาหารแก่กุมาทองมาตลอดทุกวันไม่เคยขาด ซึ่งหลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าเมือคืนยุงเยอะมาก ไม่มีกำลังจะปัด ไล่ หลวงปู่บอกกุมาทองมานั่งปัดยุงให้ บางทีก็มีเสียงตบยุงของมือเล็ ก ๆ แสดงให้รู้ว่ามาช่วยปัดยุงให้ กับสุสานทุ่งมนเอง บางครั้งรถตู้ของหลวงปู่หงษ์ก็สตาร์ทเครื่องและเคลื่อนโดยไม่มีคนขับ เมื่อเล่าถวาย..หลวงปู่ก็บอกว่า กุมาทองเขาแสดงให้ดูแม้แต่ ในประเทศสิงคโปร์ พระศิษย์หลวงปู่หงษ์ ท่านเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ ได้ไปโปรดบ้านศิษย์หลวงปู่หงษ์คนหนึ่งที่ศรัทธาเลี้ยงกุมารทองหลวงปู่ มีของเล่นวางกระจาย ขณะสนทนา ของเล่นก็เคลื่อนที่ได้เอง เจ้าของก็ไม่ได้แสดงความวิตก เขาบอกเจอจนเป็นเรื่องปรกติ ตัวผู้เขียนสมัยที่ยังอยู่สุสานทุ่งมน ก็มีหญิงชาวต่างชาตินำกุมาร หลวงปู่หงษ์ มาคืนเพราะเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเห็นกุมารเด็กนั่งยิ้มให้ เลยขอนำมาคืนก็ แปลกดี การเลี้ยงกุมารทอง หลวงปู่จะสอนให้หมั่น เรียก หมั่น บอกกล่าว พูดคุย ขอให้ช่วย และให้รางวัล
เมื่อสิ่งที่อธิฐานขอกุมารช่วยสำเร็จ เพราะโลกวิญญาณ ต้องบอกถึงจะช่วย ต้องขอถึงจะให้ และที่ขาดไม่ได้อานุภาพจะปรากฎแก่ผู้เลี้ยงดูบูชา ตามกำลังศรัทธาและอัตภาพของบุญกุศลผู้นั้นประกอบด้ว ย จะหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างเดียวก็คงไม่สามารถปรากฎ ปาฎิหารย์ หรือผลดีได้ เพราะสรรพสิ่งเป็นไปด้วยอำนาจของกรรม อันมาจากการกระทำประกอบทั้งสิ้น..
ผู้ชมทั้งหมด | 1,115,931 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |