หมวดหมู่ | เครื่องราง เมตตา มหาเสน่ห์ มหาอำนาจ บารมี |
ราคา | 0.00 บาท |
อัพเดทล่าสุด | 26 พ.ค. 2562 |
"ประวัติและชาติภูมิคนดีมีวิชา" ท่านปรมาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง มีนามเดิม"ฟ้อน"เกิดในราวพ.ศ.2426-2427 ณ ที่หมู่บ้านชุ้ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อ"นายสว่าง ดีสว่าง"เป็นบ้านโพง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มารดาชื่อ"แพ่ง ดีสว่าง"เป็นคนบ้านชะอม อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 7 คน ตามลำดับดังนี้ 1.นายสุวรรณ ดีสว่าง 2.นางฟอง 3.อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง 4.นายฟุ้ง ดีสว่าง 5.นายมี ดีสว่าง 6.นายเลี่ยม ดีสว่าง 7.นางลำดวน
"ชีวิตเมื่อเยาว์วัย" บิดามารดาท่านได้อพยพครอบครัวไปอยู่ที่หมู่บ้านโพธิ์เก้าต้น จ.ลพบุรี ในช่วงปฐมวัยนี้เด็กชายฟ้อน มีสุขภาพไม่ค่อยดีมีโรคประจำตัวรุมเร้า(เป็นโรคริดสีดวงจมูก) บิดามารดาพยายามเยียวยารักษาจนสุดความสามารถ แต่โรคร้ายหาได้ทุเลาเบาบางลงไม่และในที่สุดเด็กชายฟ้อนก็ถึงกับจมูกโหว่"เรื่องที่ท่านอาจารย์ฟ้อน จมูกโหว่มีหลายท่านที่รู้ไม่จริงบอกว่าท่านอาจารย์ฟ้อนตัดปลายจมูกแลกวิชา"ไม่มีมนุษย์ที่ไหนเขาตัดจมูกแลกวิชาหรอกครับ พอท่านมีอายุได้ประมาณ 10 ขวบ บิดาท่านได้นำตัวท่านมาฝากไว้กับ"หลวงพ่อปลอด สุคันธจันทร์"ผู้เป็นหลวงน้าที่วัดกลาง จ.อยุธยา หลวงพ่อปลอด รูปนี้ท่านเป็นผู้ทรงคุณวิเศษในทางพระเวทย์วิทยา ที่สำนักวัดกลางในสมัยนั้น มีศิษย์วัดที่ร่วมสำนักเรียนอยู่เป็นจำนวนมาก มีเด็กชายตาบ ทองสาริ และ เด็กชายปั่น สุคันธจันทร์ ผู้ซึ่งเป็นญาติสนิทรวมอยู่ด้วย ชีวิตประจำวันของเด็กชายฟ้อนมีความทุกข์ระทมขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่รังเกียจเดียดฉันของเพื่อนร่วมสำนักอยู่มาก จะมีก็เด็กชายตาบและเด็กชายปั่นที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พระหลวงน้าก็ดูแลไม่ทั่วถึง การเรียนเขียนอ่านไม่เก่ง อ่านออกเขียนได้ก็แต่"ฟ้อน"ตัวเดียว มีชีวิตอยู่ได้เพราะข้าวก้นบาตร ต่อมาเด็กชายตาบ ทองสาริ ได้บวชเป็นสามเณรศึกษาด้านเลขยันต์ ส่วนท่านอาจารย์ฟ้อน ก็มีภูมิรู้เท่าเดิมหลวงน้าเห็นว่ายังไปไม่ถึงไหนก็กวดขันมากขึ้นแต่ท่านอาจารย์ฟ้อน หาได้สนใจไม่เที่ยวเล่นไปตามประสา
"พระหลวงน้าบอกพระคาถาเมตตา" มีอยู่วันนึงเด็กชายฟ้อนอยู่กับพระหลวงน้าตามลำพังได้กราบเรียนถามพระหลวงน้าว่า"หลวงน้า ช่วยสอนวิชามือยาวให้ผมบ้างซิครับ" หลวงพ่อปลอดท่านพูดว่า"พิโธ่เอ๋ย เจ้าฟ้อนหนังสือยังอ่านไม่ออกสักตัวแล้วเอ็งจะเรียนวิชาอาคม" เด็กชายฟ้อนก็ได้เรียนบอกหลวงพ่อปลอดว่า"หลวงน้าก็สอนผมด้วยคำพูดซิครับ"แทนที่ท่านจะโกรธเคืองท่านกลับยิ้มด้วยความปรานี แต่เมื่อท่านหวนนึกถึงสภาพสังขารของหลานชาย เห็นว่าพิกลพิการ ต่อไปภายหน้าชีวิตในเพศคฤหัสถ์คงจะมีความยากลำบาก ท่านจึงได้ให้ท่านอาจารย์ฟ้อน บวชเณรโดยได้สอนพระคาถาเมตตามหานิยมให้เป็นอันดับแรก โดนท่านแนะเคล็ดลับในการเจริญภาวนา แต่ละครั้งจนมีความเข้าใจและขึ้นใจหลังจากนั้นก็นำไปปฎิบัติทดลองดูผล ความที่ท่านอาจารย์ฟ้อน มีความตั้วใจจริง มุ่งมั่นในการปฏิบัติจึงทำให้พระคาถามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอศัจรรย์ ทุกครั้งที่ท่านเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่หรือร่วมวงสนทนากับใครก็จะเป็นที่เมตตารักใคร่ หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้เรียนหรือต่อคาถาในบทใดอีกเลยเพราะพระหลวงน้าไม่มีเวลาว่าง เนื่องจากงานในพระศาสนาต่างๆ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ได้มรณะภาพลงที่วัดมหาพฤฒาราม(วัดตะเคียน)กรุงเทพ เมื่อท่านอาจารย์ฟ้อนได้ทราบข่าวการมรณะภาพของพระหลวงน้าท่าน ท่านอาจารย์ฟ้อน ก็ได้แต่เสียใจและในขณะนั้นก็เหมือนมีอะไรดลใจท่านให้เข้าค้นกุฏีพระหลวงน้าท่าน จนพบตำราวิทยาคมซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิด ท่านอาจารย์ฟ้อนจึงถือครองกรรมสิทธิ์ในตำรานั้นแล้วรอจนเสร็จงานฌาปนกิจพระหลวงน้า ท่านอาจารย์ฟ้อน จึงได้นำตำราไปให้สามเณรตาบอ่านให้ฟังและจดจำร่ำเรียนอยู่หลายเดือน แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์สามเณรตาบผู้ปราดเปรื่องกับจดจำพระเวทย์วิทยาในตำรานั้นหาได้ไม่ หลังจากนั้นไม่นานท่านปรมาจารย์ฟ้อน ก็กลับไปอยู่กับบิดาท่านที่บ้านโพธิ์เก้าต้น จ.ลพบุรี เวลาให้หลังไม่นาน ครั้งนี้ท่านอยู่ในเพศสมณะดูเป็นที่น่าศรัทธายิ่ง ไม่ทราบว่าท่านบวชที่วัดใด ใครเป็นอุปัฌาย์อาจารย์ ซึ่งในช่วงเวลานี้สามเณรตาบก็บวชเป็นภิกษุเช่นกัน
ท่านปรมาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง สุดยอดปรมาจารย์แห่งยุครัตนโกสินทร์
ผู้ชมทั้งหมด | 1,115,931 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |