องค์พ่อจตุคามรามเทพ รุ่น " โสฬสมหามงคล "
โดย อ.เอกวิทย์ ยอดระบำ ศิษย์เอกท่าน พล.ต.ต ขุนพันธ์
ชาวนครศรีธรรมราชมีคติความเชื่อที่ว่า องค์จตุคาม คือ พระเสื้อเมือง จตุ
หมายถึง สี่ คาม (คาม-มะ) เขตคาม หมายถึง อำณาเขตหรือบ้าน เมื่อรวม
กันนัยความหมายที่มากกว่าความเป็นทิศทั้ง 4 ของบ้าน หรืออาณาเขต คือ
ทิศทั้งสี่ซึ่งหมายถึงทิศที่มีท้าวจตุ โลกบาลทั้งสี่ดูแลอยู่ ความหมายของจตุ
คามจึงเป็น ตำแหน่งของผู้เป็นใหญ่ทั้งสี่ทิศมีท้วจตูมหาราช ปกป้อง
คุ้มครองดูแล พระเสื้อเมืองจึงมีความหมายที่ควรเป็นตำแหน่งๆหนึ่ง เพียง
แต่ปราชญ์โบราณของเมืองสมมติขึ้นเป็นท้าวจตุคาม ผู้เป็นใหญ่ใน 4 ทิศ
องค์รามเทพ คำว่า ราม มีรากฐานมาจากพระราม ที่หมายถึงพระนารายณ์
อวตารลงมาเป็นพระมหากษัตรึย์ คำว่าเทพ ก็คือเทวดา นัยความหมายคือ
เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็นสมมติเทพเมื่อองค์รามเทพเป็นพระทรงเมือง คำ
ว่าทรงเมืองพ้องกับคำว่า ครองเมือง นั่งเมือง หรือผู้ปกครองบ้านเมืองซึ่งก็
คือเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์
เชื่อกันว่าเดิมนั้น องค์จตุคามรามเทพ เป็นกษัตริย์ในสมัยอาณาจักร
นครศรีธรรมราช มีพระนามอย่างเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณ เป็น
กษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เชื่อว่ามีพระวรก่ายเป็น
สีเข้ม เป็นกษัตริย์นักรบที่แกร่งกล้า เมื่อสถาปนาอาณาจักรศรีวิชัยได้อย่าง
มั่นคงแล้ว จึงได้สมัญญานามว่า "ราชันดำแห่งทะเล ใต้" หรือมีอีกราช
สมัญญานามนึงว่า "พญาพังพกาฬ" และต่อมาสำเร็จวิชาจตุคามศาสตร์
และทร้งบำเพ็ญบุญเพื่สร้างบารมีอธิษฐานจิตเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อ
บรรเทาทุกข์แก้มนุษย์ทั้งปวง
ตราประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีรูปพระบรมธาตุอยู่ตรงกลาง
แต่หากเชื่อกันว่าจตุคามรามเทพคืออดีตกษัตริย์ศรีวิชัยแล้ว ดังเช่นพระเจ้า
วิษณุราชที่ปรากฏในหลักจารึกกรุงศรีวิชัย อยู่ในราว พ.ศ. 1318 ผู้สร้าง
พระบรมธาตุเมืองนครฯ จะดูขัดแย้งกันเพราะ เป็นยุคสมัยที่ห่างจาก
พระเจ้าจันทราภาณุ ก่อนถึง 400 ปี
พระบรมธาตุปรากฏชัดว่า มีสององค์ คือองค์จตุคามกับท้าวรามเทพ แต่
ภายหลังได้ร่วมเป็นองค์จตุคามรามเทพเพียงองค์เดียว ก็มิได้ผิดจากหลัก
ศาสตร์ของการสร้าง เฉกเช่นการอธิบายในหลักของตรีมูรติ ของศาสนา
ฮินดูที่เป็นการรวมกันของมหาเทพทั้ง 3 พระองค์ ดังนั้น จตุคามรามเทพ จึง
หมายถึง ดวงพระวิญญาณแห่งอดีตบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าผู้มาสถิตย์เป็นผู้
คุ้มครองดูแลบ้านเมืองทั้งสี่ทิศทรงฤทธิ์อำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งยังเพียบ
พร้อมไปด้วยบารมีธรรม 10 ประการ แห่งพระโพธิสัตว์ ผู้มีความเมตตาต่อ
มนุษย์ผู้ทุกนาม เป็นพระเทวราชโพธิสัตว์
จตุคามรามเทพ มีบริวารเป็นทหารกล้า 4 นาย คือ พญาชิงชัย, พญาหลวง
เมือง, พญาสุขุม และพญาโหรา เป็นกำลังหลักในการปราบพราหมณ์ที่เคย
ปกครองเมืองอยู่ก่อน เมื้อได้บ้านเมืองแล้ว ได้สร้างพระบรมธาตุ
สถาปนาเมือง 12 นักษัตร หรือกรุงศรีธรรมาโศกราช ฝังรากฐานพระพุทธ
ศาสนาอย่างถาวร จนได้รับเทิดพระเกียรติว่า พญาศรีธรรมาโศกราช หรือ
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ปัจจุบัน จตุคามรามเทพ ได้รับความนับถืออย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่าทรง
ฤทธานุภาพในทุก ๆ ด้าน ตามจารึกของชาวศรีวิชัยได้บอกว่า " มี
อานุภาพดุจดังพระอาทิตย์และพระจันทร์,ที่ขจัดความมืดมัวในโลก " การ
ขออธิษฐานจากพระองค์นั้นทำได้โดยมีเงื่อนไข 3 ประการ
อธิษฐานขอในสิ่งที่เป็นไปได้ โดยไม่ขัดต่อศีลธรรม
เมื่อได้รับสิ่งที่หวังแล้ว ต้องรักษาสัจจะที่ได้ให้ไว้กับพระองค์
ควรจะสร้างกุศลกรรมถวายแด่องค์จตุคามรามเทพ
แต่ที่สำคัญ อย่าลำพังเพียงอธิษฐาน ต้องสร้างกูศลกรรมให้แก่ตนเองให้
ครบทุกด้านด้วย คือ ให้ทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา
ภาพลักษณ์ของจตุคามรามเทพ โดยมากจะปรากฎเป็นองค์เทพบุตรในท่า
นั่ง มี 4 กร ถืออาวุธต่าง ๆ และนายทหารู 4 นาย นั้น จะปรากฎในรูปของ
หนุมาน 4 กร ถืออำวุธในท่วงท่าต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามศิลปะศรีวิชัยที่มัก
สร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนความหมายต่างๆ
จตุคามรามเทพปรากฎชื่อครั้งแรกในหนังสือชีวิวัฒน์ ซึ่งเป็นพระนิพนธ์
ของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรม
พระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้ำเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ เป็นการ
ส่วนพระองค์ ในพ.ศ.๒๔๓๗ ปรากฏความตอนหนึ่งว่า
...มีบันไดขึ้นบนกำแพงแก้ว ๑๕ ขั้น หัวบันไดนั้นมีฝาผนังทั้ง ๒ ข้าง มีรูป
พระข้างละองค์ ชื่อพระทัศตุคามองค์ ๑ ชื่อพระรามเทพองค์ 2 ตั้งอยู่หัว
ผนังทั้ง ๒ ข้าง แล้วมีนกอินทรีย์ข้างละตัวชื่อว่าท้าวกุเวรณราชตัวหนึ่ง ชื่อ
ว่าท้าวกุเวรเทพราชตัวหนึ่ง ข้างตีนบันไดนั้นมีรูปนนทยักษ์ยืนถือกระบอง
ข้างละตั๋ว...
จากบันทึกดังกล่าว พบว่าในปัจจุบัน รูปที่ได้รับการอ้างถึงยังคงปรากฎอยู่
โดยมีลักษณะเป็นรูปบุคคลนั่งชันเข่าด้านขวา และมีแผ่นหินอ่อนจารึกชื่อ,
ไว้ว่า ㆍ เท้าข้ตตุคาม ㆍ และ ㆍ เท้ารามเทพ ㆍ ซึ่งจะเห็นได้ว่าแตกต่างจากชื่อที่
ได้รับการบันทึกไว้ในเอกสารทางราชการเมื่อ ๑๐๐ ปีเศษมาแล้ว จึงอาจ
เป็นไปได้ว่ามีการติดแผ่นหินจารึกชื่อขึ้นมาใหม่ในสมัยหลัง
ในพระนิพพานโสตรวรรณกรรมท้องถิ่นเก่าแก่ของภาคใต้ได้กล่าวถึงที่มา
ของรูปปันบุคคลทั้งสองไว้ว่า ชื่อหมุดและหมูเป็นบุตรชายของเศรษฐีชาว
ลังกาชื่อ พลิติและพลิมุ่ย โดยเศรษฐีทั้งสองรับพระราชโองการจากพระเจ้า
กรุงลังกาให้นำทรัพย์สมบัติมาร่วมสร้างพระมหาธาตู ต่อมาบุตรชายทั้ง
สองทะเลาะกันเรื่องไก่ชนจนถึงกับฆ่ากันตาย เศรษฐีทั้งสองเศร้าโศก
เสียใจมากจึงนำเอาเถ้ากระดูกของบุตรทั้งสองมาผสมปูนแล้วปั้นเป็นรูป
ต่าง ๆ ภายในวิหารพระทรงม้า ซึ่งได้แก่ รูปเจ้าชายสิทธัตถะทรงม้าในวัน
ออกผนวช รูปสิงโตทางขึ้นพระธาตุ รูปพระพุทธรูปปางประทานอภัยองค์
ใหญ่ รวมทั้งรูปปั้นบุคคลทั้งสองนี้ด้วย โดยมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า
..ปั้นรูปพิมพานางนารถ กอดราหลราช บุตรเศรษฐีชาติสองฝ่าย เจ้าหมุด
นั้นอยู่ข้างซ้าย ข้างขวาดยหมาย น้องชายเจ้าหมูนั้นหนา แล้วปั้นรูปพระ
พุทธา ผันพระพักตรา อยู่หน้าบันไดขึ้นลง ปันรูปสิ่งโตยิ่งยง ไว้รักษาองค์
จำนงเศรษฐีทั้งสอง
นอกจากนี้ตำแหน่งที่ตั้งของรูปบุคคลทั้งสองนั้นมีความมุ่งหมายให้เห็นถึง
ฐานะของผู้รักษาประตู ที่เรียกว่าเทพุทวารบาล ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ ผู้
เฝ้าประตู หรือนายประตูตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ภายในพระบรม
มหาราชวัง พระอุ โบสถ วิหารต่าง ๆ ทั้งยังมีหน้าที่คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายมิ
ให้ล่วงล้ำเข้าไปยังองค์พระบรมธาตอันศักดิ์สิทธิ์ โดยมิได้มีความ
เกี่ยวข้องใด ๆ กับอาณาจักรศรีวิชัย แม้แต่น้อย
ที่มา : สำนักงานศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช
คาถาสำหรับบูชาจตุคามรามเทพ
ตั้งสมาธิให้จิตใจสงบจากนั้นท่อง ( นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต
สัมมามัมพุทธัสสะ 3 จบ แล้วให้กล่าวตามบทสวดดังต่อไปนี้ "จะตุคามรา
มะเทวัง โพธิสัตตัง มะหาคุณัง มะทิทธิกัง อะห้ง ปูเชมิ สิทธิลา โภ นิรันตะรัง
นะโมพุทธายะ" ข้าพเจ้าขอบูชา ท้าวจตุคามรามเทพ โพธิสัตว์ ผู้มีพระคุณ
อันยิ่งใหญ่ มีฤทธานุภาพพศาล ขอความสำเร็จและลาภ จงมีแก่ข้าพเจ้า
เป็นนิรันดรถือได้ว่าเป็นจตุคามสายท่านขุนพันธ์อีกรุ่นหนึ่งถัดจากทูลเกล้า และหลักเมืองมหามงคลในปีนี้ พิธีมหาพุทธาภิเษกพิธีสุดท้ายวันนี้นี่เอง เจ้าพิธีของรุ่นนี้คืออาจารย์เอกวิทย์ ยอดระบำ ศิษย์เอกของท่านขุนพันธ์ ซึ่งในปัจจุบัน ศิษย์ที่ได้รับการสืบทอดวิชาจากท่านขุนพันธ์และสามารถทำพิธีแทนท่านได้คือ คุณฉันท์ทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช และอาจารย์เอกวิทย์ ผู้นี้เอง หากจะเอ่ยถึงรุ่นที่ท่านเป็นเจ้าพิธีแล้วละก็ ทุกคนจะต้องรู้จักอย่างแน่นอน เช่น
- พุทธามหาเวท วัดศาลาไพ ปี 2548
- พระเสื้อเมืองพระทรงเมือง ปี 2548-49
- เก้ารอบเก้าพิธี 108 ปีท่านขุนพันธ์
- และล่าสุด หลักเมืองมหามงคล 50
เรียกได้ว่ารุ่นที่คุณณสรรค์เป็นผู้สร้าง จะต้องมีอ.เอกวิทย์เป็นเจ้าพิธีเกือบทุกครั้งไป
วัตถุประสงค์ในการสร้างครั้งนี้เพื่อรำลึกครบรอบ 50 ปีโรงเรียนปากพูน จ.นครศรีธรรมราช นำเงินรายได้จัดซื้ออุปกรณ์ครุภัณฑ์กับจัดตั้งห้องสมุด และกองทุนศิษย์เก่า เพื่อการศึกษาครับ
ผู้ชมทั้งหมด | 1,137,661 ครั้ง |
เปิดร้าน | 21 พ.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 22 ต.ค. 2568 |